ประวัติการเฉลิมฉลองคริสต์มาสต์อย่างคร่าวๆ เริ่มจากทางประเทศตะวันตกเริ่มฉลองการประสูติของพระเยซู ในวันที่ 25 ธันวาคม ตั้งแต่ปี ค.ศ.354 เป็นอย่างช้า (อ่านที่มาของ วันคริสต์มาสได้ที่นี่) ที่สำคัญสิ่งที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ คงหนีไม่พ้นอาหารอร่อยๆ ในช่วงเทศกาลนี้ที่น่ากินทุกอย่าง แถมเป็นวัฒนธรรมที่น่ารู้มากๆ ครับ

 

 

     สำหรับอาหารในเทศกาลเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสนั้น ที่เรารู้กันดีว่าต้องมี ก็คือ ไก่งวงอบ เป็นพระเอกของโต๊ะนั่นเอง โดยชาวตะวันตกจะมีธรรมเนียมให้ชายผู้อาสุโสที่สุดของบ้าน เป็นคนตัดแบ่งไก่งวงให้แก่สมาชิกทุกคน บางบ้านอาจไม่ทำไก่งวงอบ แต่จะทำไก่งวงย่าง (Roast Tom Turkey King David) แทนก็ได้ ส่วนของหวานสุดฮิตจะเป็น “คริสต์มาสพุดดิ้ง” หรือก็คือเค้กผลไม้นั่นแหละครับ แต่พิเศษตรงที่ใช้วิธีนึ่งแทนการอบแบบปกติ เมื่อถึงเวลายกเสิร์ฟจะมีการราดบรั่นดีเล็กน้อย แล้วจุดไฟเพื่อเพิ่มความหอมให้กับพุดดิ้ง

 

8 อาหารจานเด็ด ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส

 

     และในค่ำคืนนี้ เขาจะมีเครื่องดื่มสุดพิเศษประจำเทศกาล ได้แก่ “คริสต์มาสไวน์” ถือเป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมในเทศกาลวันคริสต์มาสเช่นนี้มาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ในวันคริสต์มาสของทุกปีนั้นอยู่ในช่วงหน้าหนาว ชาวตะวันตกจึงนิยมดื่มไวน์ เพราะถือว่าเป็นเครื่องดื่มที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ในขณะที่อังกฤษเองนอกจากดื่มไวน์แล้ว ยังมี “วาสเซล” ซึ่งเป็นเครื่องดื่มร้อนที่ผสมแอลกอฮอล์และเครื่องเทศ ไว้สำหรับดื่มในเทศกาลวันต์มาสนี้เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย

 

     นอกจากนี้ ยังมีวัฒนธรรมด้านอาหารในเทศกาลคริสต์มาสที่แต่ละประเทศมีไม่เหมือนกันด้วย เมนูประเทศไหนเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย

 

1. risalamande

 

 

     เริ่มกันที่เดนมาร์ก เริ่มต้นด้วยของหวานจานเด็ดที่มีชื่อว่า Risalamande ซึ่งชาวเดนิชรับประทานกันในช่วงเทศกาลคริสต์มาสจนเป็นประเพณีสำคัญ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องประหลาดมาก ถ้าใครผ่านเทศกาลคริสต์มาสไปโดยไม่ได้กินเมนูนี้

 

     Risalamande ทำจากข้าวเมล็ดกลมต้มกับนมจนแฉะคล้ายข้าวเปียก จากนั้นนำมาคลุกกับวิปครีม ใส่น้ำตาลและเกลือลงไปเล็กน้อย ตามด้วยเมล็ดอัลมอนด์ทุบจนได้ข้าวแฉะๆ ที่มีรสชาติหอมมัน นุ่มละมุนลิ้น ต่อมาก็นำไปแช่เย็น ก่อนรับประทานคู่กับซอสสีแดงที่ทำจากน้ำเชอรี่ รสชาติออกเปรี้ยวหวานตัดความเลี่ยนของตัวข้าวได้อย่างดีเลิศ เสน่ห์ของประเพณีการรับประทาน Risalamande ที่เด็กๆ ชอบกันเป็นพิเศษก็คือ แม่ครัวจะใส่เมล็ดอัลมอนด์ (ที่ยังไม่ได้ทุบ) ลงไปในหม้อข้าวต้มก่อนที่จะตักแบ่งให้สมาชิกครอบครัวซึ่งมารวมตัวกันเพื่อ งานนี้โดยเฉพาะ และหากคนไหนได้อัลมอนด์ (เต็มเมล็ด) จะถือว่าเป็นผู้โชคดีได้รับของขวัญซึ่งเจ้าภาพเตรียมไว้ แต่มีข้อแม้ว่า ห้ามเผลอเคี้ยวและกลืนไปซะก่อน ไม่งั้นอด (ผิดกติกา)

 

 

2. Buche de Noel

 

 

     ในขณะที่เมืองน้ำหอมอย่าง “ฝรั่งเศส” จะรับประทาน เค้กรูปขอนไม้ หรือ Buche de Noel หรือ Yule Log โดยมากเค้กชนิดนี้จะทำจากแผ่นสปันจ์เค้กม้วนจนกลม (คล้ายๆ แยมโรล) ตกแต่งด้วยครีมสีน้ำตาล เป็นเปลือกไม้ไอซิ่งแทนหิมะ เมอร์แรงแทนเห็ด ผลราสเบอรี่ และตามด้วยลูกสนจนหน้าตาดูเหมือนขอนไม้จริงๆ ตามตำนานเล่าว่า ในสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ได้มีกฎให้ประชาชนในปารีสปิดปล่องไฟในระหว่างฤดูหนาว เพราะเชื่อกันว่า การเปิดปล่องไฟทิ้งไว้ทำให้อากาศหนาว เมื่ออยู่บ้านจะทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย คำสั่งนี้ทำให้ชีวิตของชาวปารีสที่ผูกพันอยู่กับเตาผิงต้องเปลี่ยนไป และเพื่อระลึกถึงชีวิตเก่าๆ ที่สวยงาม จึงมีการทำเค้กรูปขอนไม้เป็นสัญลักษณ์ขึ้นมา แทนไม้ฟืนที่เคยใช้เป็นเชื้อเพลิง นอกจากนั้นก็ยังเป็นการสร้างโอกาสให้สมาชิกในครอบครัวมาร่วมรับประทานเค้กด้วยกัน และพูดคุยเล่าเรื่องต่างๆ เหมือนครั้งที่เคยนั่งผิงไฟ สร้างความอบอุ่นร่วมกันเหมือนเมื่อตอนที่เตาผิงยังใช้ได้อยู่

 

3. Turrón

 

 

     ไปที่ดินแดนกระทิงดุกันบ้าง สเปนก็มีของหวานยอดฮิตที่ขาดไม่ได้ของชาวสเปน สำหรับเทศกาลคริสต์มาสในทุกๆ ปี คือ ขนมหวานที่เรียกว่า ตูรอน (Turrón) ดูไปดูมาอารมณ์ประมาณ “ถั่วตัด” บ้านเรา ทำจากน้ำผึ้ง ไข่ขาว และถั่ว มีทั้งแบบใส่อัลมอนด์ เฮเซลนัท และถั่วชนิดอื่นๆ นำมากวนให้เข้ากันจนงวด แข็ง แล้วตัดแบ่ง มีทั้งแบบเป็นแต่งสี่เหลี่ยมผืนผ้า แบบกลม แบบหนา แบบบาง ขนมตูรอนนั้นมีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 บ้างก็ว่าขนมชนิดนี้แท้จริงแล้วถูกทำขึ้นครั้งแรกโดยแขกมัวร์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเข้ามาครอบครองดินแดนแถบเมืองคิโคน่า แคว้นอลิกันเต้ ต่อมาก็แพร่หลาย และได้รับความนิยมไปถึงแคว้นอื่นๆ รวมทั้งประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของสเปนด้วย ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์หรือละตินอเมริกา

 

 

4. Christmas Pudding

 

 

     เขยิบไปดูเมืองผู้ดีอย่างอังกฤษ ที่นี่ขนมออริจินัลสำหรับคริสมาสต์ไม่ใช่อะไรอื่น “คริสต์มาสพุดดิ้ง” นั่นเอง เขาถือกันว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความอบอุ่นในครอบครัว เพราะโดยมากในแต่ละบ้านมักมีสูตรเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของตนสืบต่อกันรุ่นต่อรุ่น พุดดิ้งชนิดนี้มีเนื้อค่อนข้างหนัก เพราะมีส่วนผสมหลักเป็นผลไม้แห้งและถั่ว สีจะออกคล้ำถึงดำ เนื่องจากใช้น้ำตาลทรายแดง และน้ำเชื่อมที่มีสีดำ ขั้นตอนการทำพุดดิ้งชนิดนี้นับว่าเป็นกิจกรรมพิเศษอย่างหนึ่งของสมาชิกในครอบครัว เพราะมีธรรมเนียมว่า สมาชิกทุกคนจะต้องมาช่วยกันคนส่วนผสม และระหว่างคนก็สามารถอธิษฐานขอพรได้ 1 ข้อแล้วจะสมหวัง ที่น่ารักไปกว่านั้นคือ สมัยก่อนจะมีประเพณีการใส่เงินเหรียญ 6 เพนนี ลงไปอบกับส่วนผสมด้วย หากใครได้เหรียญก็จะถือว่าเป็นผู้โชคดี เชื่อว่าจะเจอแต่สิ่งดีงามตลอดปีที่กำลังจะมาถึง ขนมชนิดนี้มักประดับประดาด้วยช่อโฮลีก่อนเสิร์ฟ หรือไม่ก็ราดด้วยบรั่นดีแล้วจุดไฟเป็นการเรียกเสียงปรบมือต้อนรับขนมพิเศษ ของคนในครอบครัว

 

 

5. Julmust

 

 

     ข้ามไปที่สวีเดน เมนูเด็ดของชาวสวีดิช อาจจะแปลกไปจากของประเทศอื่นๆ ซักหน่อย เนื่องจากไม่ใช่อาหารที่ปรุงกันเองตามบ้าน แต่เป็นน้ำอัดลมชนิดพิเศษที่มีขายเฉพาะในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเท่านั้น น้ำอัดลมที่ว่านี้ มีชื่อเรียกว่า Julmust หรือ ยูลมุส มีรสชาติใกล้เคียงกับเบียร์ และมีส่วนผสมประกอบด้วย โซดา น้ำตาล และ Hop (เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งใช้ในการหมักเบียร์) เชื่อกันหรือไม่ว่า ทุกๆ ปีในช่วงเดือนธันวาคม Julmust จะมียอดขายพุ่งกระฉูด แซงโค้งเครื่องดื่มน้ำดำยี่ห้อดังๆ ซึ่งยอดขายตกลงกว่าร้อยละ 50 เลยทีเดียว เพราะบางคนเล่นซื้อกันเยอะๆ เพื่อเก็บไว้กินอีกทั้งปี ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะกว่าจะได้ดื่มอีกก็ตั้งปีหน้าธันวาโน่น

 

 

6. EggNog

 

 

     ที่อเมริกา นอกจากเมนูหลักๆ อย่างไก่งวง และคริสต์มาสพุดดิ้งแล้ว แล้วที่นี่เขายังมีเครื่องดื่มแก้หนาวสูตรพิเศษที่เรียกว่า เอ้กน็อค (EggNog) เพิ่มขึ้นมาด้วย ซึ่งเจ้าเอ้กน็อคที่ว่านี้ทำมาจากครีม น้ำตาล นมสด และไข่ไก่ ก่อนจะนำไปปั่นรวมกันก่อนจะเติมเหล้ารัมตบท้าย

 

 

7. Gluhwein

 

 

     ฝั่งอาณาจักรแห่งดนตรีและศิลปะอย่างออสเตรีย ก็มีเครื่องดื่มแก้หนาวที่นิยมดื่มในช่วงเทศกาลคริสต์มาสด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นก็คือ กลูไวน์ (Gluhwein) หรือ ฮ็อตไวน์ (Hot wine) ที่ทำจากไวน์แดงนำมาอุ่นให้ร้อน ๆ ก่อนจะโรยผงเครื่องเทศลงไปด้วย

 

 

8. Smalahove

 

 

     จานสุดท้ายออกจะโหดไปนิดนึง ส่งประกวดโดยนอร์เวย์ มันคือหัวแกะที่เรียกว่า Smalahove วิธีการก็คือนำหัวแกะมาปิ้ง ลอกขน ผ่าครึ่งตามยาว เอาสมองออก ปรุงรสด้วยเกลือหรือนำไปรมควันแล้วตากแห้ง เสร็จแล้วนำมาเคี่ยวกับน้ำซุปจนงวด รับประทานกับมันบด และหัวตาบาก้าบด ส่วนที่อร่อยที่สุดก็คือลิ้น และกล้ามเนื้อตา ช่วงปี 2541 อียูได้ออกกฎหมายห้ามรับประทานหัวแกะที่โตเต็มวัยแล้ว เพราะเสี่ยงต่อการมีเชื้อแบคทีเรีย ดังนั้นตอนนี้จึงอนุญาตให้รับประทานได้แต่หัวลูกแกะเท่านั้น